คำพิพากษาฎีกา 1196-1218/2546
นางสุน กับพวกรวม 23 คน โจทก์
บริษัทหลักทรัพย์ จำกัด (มหาชน) จำเลย
เรื่อง 1. ลาออกมีผลเมื่อใด
2. ลาออกแล้วจะใช้สิทธิเรียกร้องวันหยุดพักผ่อนประจำปีอีกไม่ได้
3. ลาออกแล้วได้ค่านายหน้าไหม ม.76
- โจทก์ทั้งยี่สิบสามฟ้องว่า โจทก์ทั้งยี่สิบสามเคยเป็นลูกจ้างของจำเลย (1)โดยโจทก์ทั้งยี่สิบสามได้ยื่นใบลาออกล่วงหน้าให้ไว้แก่จำเลย (2)แต่จำเลยกลับอนุมัติให้ใบลาออกดังกล่าวมีผลเป็นการเลิกสัญญาจ้างในวันที่ยื่นใบลาออกทันที ดังนั้น การที่จำเลยอนุมัติให้โจทก์ทุกคนลาออกก่อนกำหนดที่ระบุไว้ในใบลาออก ทำให้โจทก์ทั้งยี่สิบสามขาดค่าจ้างที่จะได้รับนับตั้งแต่วันที่ยื่นใบลาออก โจทก์ทั้งยี่สิบสามพร้อมจะทำงานให้จำเลยถึงวันที่กำหนดในใบลาออก การที่จำเลยให้โจทก์ทั้งยี่สิบสามออกก่อนกำหนดจึงเป็นการผิดสัญญา
จ้างแรงงาน (3)โจทก์ทั้งยี่สิบสามจึงขอเรียกค่าเสียหายนับตั้งแต่ วันที่ยื่นใบลาออกจนถึงวันที่โจทก์ประสงค์จะลาออก และตามระเบียบข้อบังคับของจำเลย ยังได้กำหนดให้พนักงานลาหยุดพักผ่อนประจำปีได้ปีละ 20 วันทำงาน ซึ่งหากใช้สิทธิไม่ครบ ก็สามารถนำที่เหลือมาสมทบในปีถัดไปได้อีก ก่อนที่จำเลยจะอนุมัติให้โจทก์ลาออก โจทก์ยังคงมีวันลาหยุดพักผ่อนประจำปีในปี 2544 เหลืออีก (4)จึงมีสิทธิได้รับค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีดังกล่าว นอกจากนี้ในการทำงานจำเลยตกลงจะให้(5)ค่านายหน้าจากการขายแก่โจทก์ที่ 10 ในอัตราร้อยละ 5 ของยอดรวม ค่านายหน้าจากการขายทำได้ แต่จำเลยไม่ยอมจ่าย
- จำเลยทั้งยี่สิบสามสำนวนให้การว่า โจทก์ทั้งยี่สิบสามไม่มีสิทธิได้รับเงินค่าเสียหายตามฟ้อง ไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีตามฟ้อง เพราะจำเลยคิดคำนวณเงินจาก วันหยุดพักผ่อนประจำปีที่เหลืออยู่หักกลบลบหนี้กับหนี้สินหรือค่าเสียหายต่าง ๆ จากนั้นได้จ่ายเงินให้เป็นการเรียบร้อยแล้ว (6)จำเลยมีระเบียบหรือประกาศเกี่ยวกับการลาออกของพนักงานเป็นการเฉพาะ กำหนดให้พนักงานที่ลาออกพ้นสภาพการเป็นพนักงานในวันยื่นใบลาออกเลยทันที โจทก์ทั้งยี่สิบสามไม่มีสิทธิ(7)เรียกเงินค่าเสียหายส่วนนี้ โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับ(8)ค่านายหน้าจากการขายส่วนที่เหลือ เพราะยอดจำนวนเงินจากการขายของพนักงานขายซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบ มีความผิดพลาดด้านตัวเลขและเกิดความเสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
- ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว (9)พิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งยี่สิบสามสำนวน
- ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว เห็นว่า การบอกเลิกสัญญาจ้าง ปัจจุบันพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 นำบทบัญญัติมาตรา 582 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาบัญญัติไว้ใน(10)มาตรา 17 ซึ่งเป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน คู่สัญญาย่อมไม่มีสิทธิที่จะตกลงเกี่ยวกับการเลิกสัญญาจ้างเป็นอย่างอื่นได้ คดีนี้แม้จำเลยกับโจทก์ทั้งยี่สิบสามจะมีข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามระเบียบและ(11)ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ระบุว่า สำหรับพนักงานที่มีหน้าที่ดูแลข้อมูลความลับของบริษัทฯ / และหรือลูกค้า โดยทางปฏิบัติแล้ว บริษัทฯ จะอนุมัติให้พ้นสภาพในทันที ที่ยื่นหนังสือลาออก ทั้งนี้ให้อยู่ในดุลพินิจ(12)ของกรรมการผู้จัดการขึ้นไปที่จะพิจารณาเป็นกรณี ๆ ไปก็ตาม แต่ระเบียบดังกล่าวเป็น(13)ข้อตกลงที่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติแห่ง
พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 จึงต้องใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 17 วรรคสอง บังคับแทน ดังนั้นเมื่อโจทก์ทั้งยี่สิบสามแสดงความประสงค์ให้การลาออกเป็นผลเมื่อพ้นกำหนด 30 วัน นับแต่วันยื่นใบลาออก แต่จำเลยกลับไม่ยอมปฏิบัติตามบทบัญญัติดังกล่าว ทำให้โจทก์ทั้งยี่สิบสามได้รับความเสียหาย จำเลยจึงต้องจ่าย(14)ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งยี่สิบสาม
- ตามอุทธรณ์ข้อสองของโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิเรียกค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีหรือไม่ เห็นว่า (15)เมื่อโจทก์ได้ยื่นใบลาออกในปี 2544 มิได้ถูกจำเลยเลิกจ้าง จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างตามส่วนสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีในปีที่เลิกจ้าง ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 67
- ตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิเรียกค่านายหน้าจากการขายหรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541(16)มาตรา 76 บัญญัติว่า ห้ามนายจ้างหักค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด และค่าล่วงเวลาในวันหยุด เพื่อชำระหนี้ที่ลูกจ้างเป็นหนี้นายจ้างเว้นแต่ การชำระหนี้อย่างใดอย่างหนึ่งตามกฎหมายข้างต้น คดีนี้(17)โจทก์มีสิทธิได้รับค่านายหน้า (ค่าคอมมิชชั่น) จากการขายตามหลักเกณฑ์การจ่ายค่าตอบแทน โดยระบุไว้ในข้อ 2 ตอนท้ายว่า ความผิดพลาดที่ทำให้เกิดความเสียหายของเจ้าหน้าที่การตลาดในความดูแลของหัวหน้าส่วน จะนำมาหักออกจากค่าตอบแทนของหัวหน้าส่วนที่ได้รับจากทีม ดังนั้น จำเลยจึงมีสิทธินำค่าเสียหายที่เกิดจากความผิดพลาด ในส่วนความรับผิดชอบของโจทก์มาหักออกจากค่านายหน้า (ค่าคอมมิชชั่น) ได้รับตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้น มิใช่เป็นการนำค่าจ้างที่โจทก์ได้รับมาหักเพื่อชำระหนี้ จึงไม่ขัดต่อพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 76
♠ ♠ ♠ ♠ ♠ ♠ ♠ ♠ ♠ ♠ ♠ ♠ ♠ ♠ ♠
รวบรวมโดยนายไพบูลย์ ธรรมสถิตย์มั่น (บ.1/น)
คำพิพากษาฎีกาที่ 3453/2549
นายสมบุญ โจทก์
บริษัทไปร จำกัด ที่ 1 กับพวก จำเลย
เรื่อง 1. ดื่มสุราในเวลางาน ไม่ก่อความเสียหาย ไม่ร้ายแรง
2. ร้ายแรงพิสูจน์อย่างไร
3. ดื่มสุราขณะทำงานผิดร้ายแรงไหม
1.โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เข้าทำงานวันที่ 27 มีนาคม 2527 ตำแหน่งสุดท้ายนายไปรษณีย์ 7 อัตรา เงินเดือนขั้น 18,550 บาท เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2544 ขณะโจทก์ปฏิบัติหน้าที่ ปฏิบัติงานตั้งแต่ 10 นาฬิกา ถึง 17.30 นาฬิกา จำเลยทั้งสองกล่าวหาโจทก์ว่า ระหว่างเวลา 16.30 นาฬิกาถึง 17 นาฬิกา โจทก์ได้ออกจากที่ทำการไปดื่มสุรา เมื่อกลับเข้ามาโจทก์ได้กล่าววาจาหยาบคาย และข่มขู่อาฆาตหัวหน้าที่ทำการไปรษณีย์ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา (1)คณะกรรมการสอบสวนทางวินัยที่จำเลยที่ 2 แต่งตั้งมีมติว่า โจทก์กระทำผิดจริงตามข้อกล่าวหา แต่โจทก์ไม่เคยกระทำผิดระเบียบวินัยมาก่อน ลดโทษลงเป็นลดขั้นเงินเดือน 1ขั้นตามคำสั่งจำเลยที่ 5173/2545(2)โจทก์ได้อุทธรณ์คำสั่งต่อคณะกรรมการการสื่อสารแห่งประเทศไทย ต่อมาคณะกรรมการการสื่อสารแห่งประเทศไทยได้มีมติให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์ และเห็นว่าโทษที่โจทก์ได้รับน้อยเกินไป(3)มีมติให้เพิ่มโทษจากลดขั้นเงินเดือน 1 ขั้น เป็นโทษให้ออกจากงาน ตามคำสั่งจำเลยที่ 51238/2545 โจทก์ไม่ได้กระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหา การที่จำเลยทั้งสองมีคำสั่งให้โจทก์ออกจากงาน จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยทั้งสองต้องรับโจทก์กลับเข้าทำงานตามเดิม หากไม่สามารถรับโจทก์กลับเข้าทำงานได้ จำเลยทั้งสองต้องรับผิดจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าเสียหาย เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
- จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ได้กระทำความผิดวินัยอย่างร้ายแรง (4)โดยวันที่ 20 กรกฎาคม 2544 เวลา 16.30 นาฬิกา ถึง 17 นาฬิกา โจทก์ได้ออกจากที่ทำการไปรษณีย์ไปดื่มสุรา หัวหน้าได้ให้เจ้าหน้าที่ไปตามโจทก์กลับเข้าที่ทำการและว่ากล่าวตักเตือน (5)โจทก์ไม่พอใจและได้พูดจาหยาบคาย ข่มขู่ อาฆาตและฆ่าหัวหน้า จำเลยที่ 1 โดยให้ออกจากงาน เนื่องจากโจทก์กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง การให้โจทก์ออกจากงานเป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรม (6) โจทก์ไม่มีสิทธิขอกลับเข้าทำงานกับจำเลย ไม่มีสิทธิเรียกค่าชดเชยสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าเสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
- ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว(7)พิพากษาให้จำเลยทั้งสองรับโจทก์กลับเข้าทำงานในตำแหน่งหน้าที่และค่าจ้างอัตราไม่ต่ำกว่าเดิม(8)โดยให้นับอายุ)งานต่อเนื่อง และให้จำเลยที่ 1(9)จ่ายค่าเสียหาย แก่โจทก์ เดือนละ 10,000 บาท นับแต่วันที่ 30 กรกฎาคม 2545 จนกว่าจะรับโจทก์กลับเข้าทำงาน คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
- จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา ข้อบังคับการสื่อสารแห่งประเทศไทยฉบับที่ 3 ว่าด้วยการบรรจุแต่งตั้ง ฯลฯ พ.ศ. 2520 ตามเอกสารหมาย ล.16 ข้อ 64 จะกำหนดว่าพนักงานและลูกจ้างผู้ใดดื่มสุราในขณะปฏิบัติหน้าที่การงานเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง (10) แต่ตามข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางรับฟังมีว่า โจทก์ออกไปดื่มสุราเพียงเล็กน้อยนอกที่ทำการใน(11)ขณะที่ใกล้หมดเวลาการทำงานของโจทก์แล้ว เหลือแต่เพียงรอเวลาทำหน้าที่กรรมการปิดตู้นิรภัยเท่านั้น (12)ไม่มีอาการมึนเมาสุรา (13)โจทก์มิได้กล่าวคำขู่อาฆาตผู้บังคับบัญชา (14) เพียงแต่โต้เถียงกันเล็กน้อยเท่านั้น (15)ไม่ได้ทำให้งานในหน้าที่เสียหาย แต่อย่างใด ซึ่งการจะพิจารณาว่าการกระทำผิดใดจะถือเป็นกรณีร้ายแรงหรือไม่ต้องพิจารณาตามพฤติการณ์เป็นราย ๆ ไป หาใช่ว่าเมื่อดื่มสุราแล้วถึงแม้จะดื่มเพียงเล็กน้อยก็เป็นความผิดร้ายแรงทันที (16) การกระทำผิดของโจทก์ดังกล่าวถือไม่ได้ว่าเป็นความผิดในกรณีร้ายแรง ดังนั้น การลงโทษโจทก์จึงต้องเป็นไปตามข้อบังคับดังกล่าวข้อ 69 ที่กำหนดว่า พนักงานและลูกจ้างผู้ใดกระทำผิดวินัยที่ยัง ไม่ถึงขั้นเป็นการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง ให้ผู้บังคับบัญชาสั่งลงโทษภาคทัณฑ์ ตัดเงินเดือน ตัดเงินค่าจ้าง ลดขั้นเงินเดือนหรือลดค่าจ้างตามควรแก่กรณีให้เหมาะสมแก่ความผิดเท่านั้น ไม่มีกรณีต้องให้ออกจากงานแต่อย่างใด การที่จำเลยที่ 1 มีคำสั่งลงโทษโดยให้โจทก์ออกจากงาน (17)จึงเป็นการลงโทษที่ไม่ชอบด้วยข้อบังคับในการปฏิบัติงานของจำเลยที่ 1 เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
- พิพากษายืน
♠ ♠ ♠ ♠ ♠ ♠ ♠ ♠ ♠ ♠ ♠ ♠ ♠ ♠ ♠
รวบรวมโดยนายไพบูลย์ ธรรมสถิตย์มั่น (บ.1/15)