คำพิพากษาฎีกาที่ 15077/2555
บริษัท ไฮ – เทค รับเบอร์ โปรดัคส์ โจทก์
นางกมลรัตน์ ไชยบุดดี ในฐานะพนักงานตรวจแรงงาน จำเลย
เรื่อง 1. ลูกจ้างควบคุมเครื่องจักร แต่ขายอาหารในเวลาทำงาน ผิดร้ายแรงไหม
2. หากลูกจ้างต้องจ่ายเงินอะไรบ้าง
1. โจทก์ฟ้องว่า นางสาวระเบียบ เป็นลูกจ้างของโจทก์ทำงานหน่วยเพลทการผลิต หน้าที่ควบคุมเครื่องจักรและขึ้นรูปงานต่างๆ และต้องปฏิบัติตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของโจทก์ เมื่อประมาณวันที่ 9 ถึง 10 มีนาคม 2548 นางสาวระเบียบได้นำขนมกับมาม่ามาวางขายที่หน้าเครื่องและได้ทำการขายที่หน้าเครื่องในเวลาทำงาน วันที่ 11 มีนาคม 2548 โจทก์ได้เรียกนางสาวระเบียบและพนักงานที่เคยซื้อของมาสอบสวน พนักงานยอมรับว่าเป็นความจริง การกระทำดังกล่าวเป็นการผิดระเบียบของโจทก์กรณีร้ายแรง โจทก์ได้ลงโทษนางสาวระเบียบโดยการว่ากล่าวตักเตือน ต่อมาวันที่ 8 ถึง 9 พฤษภาคม 2548 นางสาวระเบียบได้นำกาแฟกับมาม่ามาขายที่หน้าเครื่องที่ทำงานในเวลาทำงานอีก ในวันที่ 10 พฤษภาคม 2548 โจทก์จึงทำหนังสือปลดนางสาวระเบียบออกจากงาน ต่อมานางสาวระเบียบได้ยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงาน จำเลยในฐานะพนักงานตรวจแรงงานสอบสวนข้อเท็จจริงแล้วมีคำสั่งให้โจทก์จ่ายค่าชดเชย 27,000 บาท และค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 2,850 บาท โจทก์ขอโต้แย้งคัดค้านคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงานเป็นการขายของในเวลาขณะที่ทำงาน ผิดกฎระเบียบของโจทก์ เป็นการสิ้นเปลืองเวลาและทรัพยากรกับอุปกรณ์ของโจทก์ทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบการทำงานของโจทก์ และทำให้เกิดความล่าช้าในการทำงานและส่งสินค้า ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้เพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน
2. จำเลยให้การว่า โจทก์เลิกจ้างนางสาวระเบียบ เพราะลูกจ้างนำอาหารเข้ามาจำหน่ายในเวลาปฏิบัติงาน ลูกจ้างเพียงแต่นำอาหารแห้ง เช่น มาม่า กาแฟซองและขนม เข้ามาขาย ลักษณะการขายนั้นจะนั่งประจำเครื่องที่ตนเองควบคุมและวางสินค้าที่จะขายไว้ข้างเครื่องจักรที่ลูกจ้างปฏิบัติงาน เมื่อมีผู้ใดต้องการก็จะเดินมาหยิบสินค้าพร้อมทั้งจ่ายเงินให้แก่ลูกจ้าง ลักษณะการทำงานของลูกจ้างนั้น จะนั่งทำงานอยู่กับที่มีหน้าที่หยิบชิ้นงานที่อบแล้วออกจากแม่พิมพ์และดูแลเครื่องจักรที่ตนรับผิดชอบ การที่ลูกจ้างได้นำอาหารเข้ามาขาย ไม่สิ้นเปลืองเวลา หรือ ทรัพยากรและอุปกรณ์ของนายจ้าง และไม่มีผลกระทบต่อการทำงานปกติของลูกจ้าง แม้ว่าได้มีการตักเตือนด้วยวาจาแล้วก็ตาม แต่ไม่มีการตักเตือนเป็นหนังสือคำสั่งของจำเลย จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
3. ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า การกระทำของนางสาวระเบียบมิใช่การทุจริตต่อหน้าที่ มิใช่การ จงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย เป็นเพียงการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของโจทก์กรณีที่ไม่ร้ายแรง เมื่อโจทก์เลิกจ้างนางสาวระเบียบโดยมิได้ตักเตือนเป็นหนังสือมาก่อน โจทก์ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่นางสาวระเบียบ แต่กรณีที่นางสาวระเบียบฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของโจทก์และโจทก์ก็ได้ตักเตือนด้วยวาจาแล้ว นางสาวระเบียบให้สัญญาว่าจะไม่นำสินค้ามาขายอีกแต่ก็ยังคงฝ่าฝืน ถือได้ว่านางสาวระเบียบจงใจขัดคำสั่งของโจทก์ซึ่งเป็นนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายหรือละเลยไม่นำพาต่อคำสั่งเช่นว่านั้นเป็นอาจิณ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583 จึงเลิกจ้างนางสาวระเบียบได้โดยมิพักต้องบอกกล่าวล่วงหน้า พิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน เฉพาะส่วนที่สั่งให้โจทก์จ่ายค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นเงิน 2,850 บาท คำขออื่นของโจทก์ให้ยก
4. ศาลฎีกาพิพากษายืน
รวบรวมโดยนายไพบูลย์ ธรรมสถิตย์มั่น
www.paiboonniti.com