คำพิพากษาฎีกาที่ 16802/2555

นางสาวชฎาภรณ์      โพธิ์งาน                         โจทก์ 

บริษัท  เอส.เอส.อาร์. แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด         จำเลย

เรื่อง  1. ลูกจ้างทุจริตและละทิ้งหน้าที่เกิน 3 วันทำงาน นายจ้างควรทำอย่างไร
        2. นายจ้างจะยึดเงินค่าจ้างไว้ได้หรือไม่
        3. จะต้องแจ้งความภายในกี่วัน
        4. ให้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ ควรมีข้อความยังไง

1. โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2546 จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำหน้าที่บัญชี – การเงิน ได้ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 17,000 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน เมื่อวันที่ 27  พฤษภาคม  2548โจทก์ได้ลาออกจากการเป็นลูกจ้างของจำเลยและทวงถามค่าจ้างเดือนสุดท้ายแล้ว  แต่จำเลยไม่ยอมจ่าย ขอให้บังคับจำเลยชำระค่าจ้าง 17,000  บาท  พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์

 2. จำเลยให้การว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยได้รับค่าจ้างเดือนละ 17,000  บาทในเดือน พฤษภาคม 2548  ถึงกำหนดจ่ายในวันที่ 1  มิถุนายน  2548  แต่โจทก์ยื่นหนังสือลาออกวันที่   27  พฤษภาคม 2548  โจทก์มิได้บอกกล่าวล่วงหน้าและละทิ้งหน้าที่ไปทันทีทำให้จำเลยเสียหายร้ายแรง  จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าจ้างทำงานของวันที่  1  ถึง  26  พฤษภาคม  2548  จำเลยตรวจพบว่าโจทก์ยักยอกทรัพย์จำเลยเป็นจำนวนเงิน 1,427,336.89  บาท  จำเลยได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน  โจทก์ยอมรับสภาพหนี้เพียงบางส่วนโดยทำหนังสือตามเอกสารท้ายคำให้การ  หนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้มากกว่าหนี้ค่าจ้างตามฟ้อง   ขอให้ยกฟ้อง

 3. ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว  พิพากษาให้จำเลยชำระค่าจ้างค้าง 15,300  บาท  พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 จ่อปี  นับแต่วันฟ้อง (24  กุมภาพันธ์ 2549)  เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์

4. ศาลฎีกา ปรึกษาแล้ว โจทก์ฟ้องเรียกค่าจ้างที่จำเลยยังไม่ชำระให้แก่โจทก์  จำเลยให้การต่อสู้คดีว่าโจทก์ยื่นใบลาออกทันทีโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้าทำให้จำเลยเสียหายและโจทก์ยักยอกทรัพย์ของจำเลย  โจทก์ได้ทำหนังสือยอมรับสภาพหนี้ในความเสียหายบางส่วนให้แก่จำเลยมีจำนวนมากกว่าค่าจ้างที่จำเลยค้างชำระแก่โจทก์  โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะได้รับเงินค่าจ้างตามฟ้อง  ขอให้ยกฟ้อง  ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า   จำเลยค้างค่าจ้างโจทก์จำนวน 15,300  บาท  และวินิจฉัยในประเด็นที่ว่าโจทก์เป็นหนี้ จำเลยมากกว่าจำนวนค่าจ้างที่ค้าง  จำเลยจะมีสิทธินำค่าจ้างค้างมาหักหนี้ได้หรือไม่  เห็นว่า หนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้ตามเอกสารหมาย  ล.4  ซึ่งโจทก์รับว่าโจทก์ทำให้แก่จำเลยจริงและยินยอมชดใช้หนี้ให้ตาม
หนังสือรับสภาพหนี้นี้  แต่จำเลยจะเรียกร้องมากกว่าหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้  โจทก์จึงไม่ยอมชำระนั้น  เมื่อค่าจ้างที่โจทก์มีสิทธิที่จะได้รับจากจำเลยมีจำนวนน้อยกว่าค่าเสียหายที่โจทก์รับว่าจะใช้ให้แก่จำเลยตามหนังสือรับสภาพหนี้เอกสารหมาย  ล.4  ซึ่งเป็นหนี้ที่ไม่มีข้อต่อสู้แล้ว   จำเลยจึงมีสิทธินำค่าจ้างที่จะต้องชำระให้แก่โจทก์มาหักกับหนี้ที่จำเลยเป็นเจ้าหนี้โจทก์ได้  จึงไม่มีหนี้ที่จำเลยต้องชำระให้แก่โจทก์อีก

พิพากษากลับ   ให้ยกฟ้องโจทก์



รวบรวมโดยนายไพบูลย์  ธรรมสถิตย์มั่น
www.paiboonniti.com

C.3