ทำสัญญามีกำหนดระยะเวลาแน่นอน 4 ฉบับ แต่ลูกจ้างปฎิเสธการต่อสัญญา
คำพิพากษาฎีกาที่ 18970 – 18973/2555
นายณรงค์ปกรณ์ อินไชยย์ทอง ที่ 1 กับพวกรวม 4 คน โจทก์
บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย จำเลย
เรื่อง 1. ทำสัญญาจ้างมีกำหนดระยะเวลาแน่นอนมาแล้ว 4 ฉบับ เมื่อฉบับสุดท้ายครบกำหนด
สัญญานายจ้างประสงค์ให้ลูกจ้างทำงานต่อไป แต่ลูกจ้างปฏิเสธผลคดี จะต้องจ่ายค่าชดเชยไหม
2. สัญญาจ้างมีกำหนดระยะเวลาจ้างแน่นอน ต้องมีลักษณะอย่างไร
3. เมื่อครบกำหนดสัญญาแล้วต้องต่อสัญญาช่วงเวลาใด
1.โจทก์ทั้งสี่ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสี่ทำงานกับจำเลยมาครบ 1 ปี แต่ไม่ครบ 3 ปี มีสิทธิได้รับค่าชดเชยคนละ 90 วัน โจทก์ทั้งสี่มีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีคนละ 6 วันทำงาน คิดเป็นเงินคนละ 3,000 บาท เมื่อจำเลยจงใจไม่จ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีและค่าชดเชย โจทก์ทั้งสี่จึงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี และเงินเพิ่มร้อยละ 15 ของเงินค่าจ้างทุกระยะเจ็ดวัน ขอให้บังคับจำเลยจ่าย
2.จำเลยให้การว่า ทำสัญญาจ้างโจทก์ที่ 1 รวม 4 ฉบับ โจทก์ที่ 1 มีอายุงานรวม 2 ปี 3 เดือน 29 วัน จำเลยทำสัญญาจ้างโจทก์ที่ 2 รวม 6 ฉบับ โจทก์ที่ 2 มีอายุงานรวม 2 ปี 11 เดือน 28 วัน จำเลยทำสัญญาจ้างโจทก์ที่ 3 รวม 6 ฉบับ โจทก์ที่ 3 มีอายุงานรวม 2 ปี 11 เดือน 28 วัน และจำเลยทำสัญญาจ้างโจทก์ที่ 4 รวม 5 ฉบับ โจทก์ที่ 4 มีอายุงานรวม 2 ปี 2 เดือน 17 วัน เมื่อสัญญาจ้างฉบับสุดท้ายระหว่างโจทก์ทั้งสี่กับจำเลยจะครบกำหนด จำเลยประสงค์ให้โจทก์ทั้งสี่ทำงานกับจำเลยต่อไป แต่โจทก์ทั้งสี่ปฏิเสธ ดังนั้นจำเลยจึงไม่ได้เลิกจ้างโจทก์ จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีแก่โจทก์ทั้งสี่ ขอให้ยกฟ้อง
3.ระหว่างพิจารณาจำเลยจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีแก่โจทก์ทั้งสี่แล้ว
4.ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลตามพระราชกำหนด บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย พ.ศ. 2544 มีวัตถุประสงค์ในการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพของสถาบันการเงินและบริษัทบริหารสินทรัพย์ ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ปรับโครงสร้างกิจการ โจทก์ที่ 1 เริ่มทำงานกับจำเลยในตำแหน่งนิติกรตามสัญญาจ้าง 4 ฉบับ ฉบับแรกเริ่มวันที่ 3 กันยายน 2550 ถึง วันที่ 31 ธันวาคม 2550 ฉบับที่ 2 เริ่มวันที่ 1 มกราคม 2551 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2551 ฉบับที่ 3 เริ่มวันที่ 1 มกราคม 2552 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2552 และฉบับที่ 4 เริ่มวันที่ 1 กรกฎาคม 2552 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2552 โจทก์ที่ 2 และโจทก์ที่ 3 ทำสัญญาจ้างกับจำเลยคนละ 6 ฉบับ ฉบับแรกเริ่ม วันที่ 3 มกราคม 2550 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2550 ฉบับที่ 2 เริ่มวันที่ 1 กรกฎาคม 2550 ถึง วันที่ 30 ธันวาคม 2550 ฉบับที่ 3 เริ่มวันที่ 1 มกราคม 2551 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2551 ฉบับที่ 4 เริ่มวันที่ 1 กรกฎาคม 2551 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2551 ฉบับที่ 5 เริ่มวันที่ 1 มกราคม 2552 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2552 และฉบับที่ 6 เริ่มวันที่ 1 กรกฎาคม 2552 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2552 และโจทก์ที่ 4 ทำสัญญาจ้างกับจำเลย 3 ฉบับ ฉบับแรกเริ่มวันที่ 15 ตุลาคม 2550 ถึงวันที่ 14 ตุลาคม 2551 ฉบับที่ 2 เริ่มวันที่ 16 ตุลาคม 2551 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2551 ฉบับที่ 3 เริ่มวันที่ 1 มกราคม 2552 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2552 ฉบับที่ 4 เริ่มวันที่ 1 กรกฎาคม 2552 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2552 ต่อมาวันที่ 20 พฤศจิกายน 2552 จำเลยได้มีหนังสือแจ้งการต่ออายุสัญญาจ้างโจทก์ทั้งสี่ แต่โจทก์ทั้งสี่ ไม่ประสงค์ต่ออายุสัญญาจ้างกับจำเลย ตามสำเนาหนังสือแจ้งการต่ออายุสัญญาเอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.4 จำเลยได้เรียกให้พนักงานที่ไม่ต่ออายุสัญญาจ้างกับจำเลยเข้าประชุมเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2552 ตามสำเนารายชื่อพนักงานสัญญาจ้าง เอกสารหมาย ล.5 แล้ววินิจฉัยว่า จำเลยเป็นกิจการที่แสวงหากำไร ทางเศรษฐกิจ และอยู่ภายใต้บังคับพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน จากข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ก่อนสัญญาจ้างระหว่างโจทก์ทั้งสี่กับจำเลยจะสิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคม 2552 จำเลยได้มีหนังสือ แจ้งให้โจทก์ทั้งสี่ต่ออายุสัญญาจ้างกับจำเลย ต่อมาเมื่อจำเลยเรียกพนักงานที่ไม่ต้องการต่ออายุสัญญาจ้างกับจำเลยเข้าประชุม โจทก์ทั้งสี่ยังคงยืนยันไม่ต่ออายุสัญญาจ้างกับจำเลยเช่นเดิม แสดงว่าจำเลยซึ่งเป็นนายจ้างยังคงมีงานให้โจทก์ทั้งสี่ซึ่งเป็นลูกจ้างทำ และยังคงต้องการให้โจทก์ทั้งสี่ทำงานกับจำเลยต่อไป แต่โจทก์ทั้งสี่กลับเป็นฝ่ายปฏิเสธ และแสดงความประสงค์ต่อจำเลยว่าโจทก์ทั้งสี่จะไม่ทำงานให้จำเลยอีกต่อไปเมื่อครบอายุสัญญาจ้างแล้ว จากข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงฟังได้ว่า จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างหาได้เลิกจ้างโจทก์ทั้งสี่ไม่ เมื่อจำเลยไม่ได้เลิกจ้างโจทก์ทั้งสี่ จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ทั้งสี่ แล้วพิพากษายกฟ้อง
5.ศาลฎีกาเห็นว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 118 วรรคสอง บัญญัติให้การเลิกจ้างหมายความว่า การกระทำใดที่นายจ้างไม่ให้ลูกจ้างทำงานต่อไปและไม่จ่ายค่าจ้างให้ ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุสิ้นสุดสัญญาจ้างหรือเหตุอื่นใด และหมายความรวมถึงกรณีที่ลูกจ้างไม่ได้ทำงานและไม่ได้รับค่าจ้างเพราะเหตุที่นายจ้างไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไป เมื่อศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า ก่อนสัญญาจ้างระหว่างโจทก์ทั้งสี่กับจำเลยจะสิ้นสุด จำเลยแจ้งให้โจทก์ทั้งสี่ต่ออายุสัญญาจ้าง แต่โจทก์ทั้งสี่ไม่ประสงค์ต่ออายุสัญญาจ้างกับจำเลย จึงฟังได้ว่าจำเลยซึ่งเป็นนายจ้างหาได้เลิกจ้างโจทก์ทั้งสี่ไม่
พิพากษายืน
รวบรวมโดยนายไพบูลย์ ธรรมสถิตย์มั่น
www.paiboonniti.com
Code : 62