คำพิพากษาฎีกาที่ 13895/2555
นายวิชิตพงศ์ วิจารจิตต์ โจทก์
บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) จำเลย
เรื่อง 1. ค่าพาหนะเหมาจ่ายรายเดือนเป็นค่าจ้างไหม
2. หากเป็นค่าจ้างกระทบเงินต่างๆ อะไรบ้าง
1. โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2547 จำเลยรับโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้าง ตำแหน่ง PERSONNEL OFFICER 2 เงินเดือนอัตราสุดท้ายเดือนละ 14,206 บาท และค่าพาหนะเหมาจ่ายรายเดือน เดือนละ 2,000 บาท เดือนพฤศจิกายน 2548 จำเลยจ่ายเงินรางวัลประจำปี ในอัตรา 2.25 เท่าของเงินเดือนค่าจ้างโดยไม่นำค่าพาหนะไปรวมคำนวณ ทำให้โจทก์ได้รับเงินจากจำเลยเพียง 31,964 บาท โจทก์เห็นว่าจำเลยกระทำผิดกฎหมายและฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับของจำเลยซึ่งถือว่าเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง โจทก์จึงมีสิทธิได้รับชำระหนี้จากจำเลยอีก 4,500 บาท จำเลยยังกระทำผิดกฎหมายเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพกล่าวคือ โจทก์ได้รับค่าพาหนะเหมาจ่ายจากจำเลยเดือนละ 2,000 บาท ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2547 ถึงปัจจุบัน แต่จำเลยมิได้นำค่าพาหนะรวมกับเงินเดือนเพื่อเป็นฐานการคำนวณเงินตามอัตราที่ตกลงกันทำให้โจทก์ขาดประโยชน์ที่ควรได้รับจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ การที่จำเลยไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเป็นการกระทำไม่เป็นธรรมต่อโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยมีคำสั่งให้ค่าพาหนะเป็นเงินเดือนค่าจ้างและให้จำเลยจ่ายเงินรางวัลประจำปีงบประมาณ 2547/2548 โดยคิดคำนวณค่าพาหนะของโจทก์ที่ได้รับเป็นเงินเดือนค่าจ้าง เดือนละ 2,000 บาท และให้นำเงินค่าพาหนะสมทบเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพตามข้อตกลงกับจ่ายค่าจ้างค้าง จำนวน 4,500 บาท และค่าเสียหายจำนวน 100,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี
2. จำเลยให้การว่าจำเลยได้จ่ายเงินรางวัลประจำปีถูกต้องครบถ้วนแล้ว ในอดีตจำเลยให้พนักงานที่ต้องไปปฏิบัติงานนอกสถานที่เป็นรายครั้งรายเที่ยวโดยพนักงานที่ออกไปปฏิบัติงานนอกสถานที่ต้องกลับมาทำเรื่องเบิกจำเลยจึงจะเบิกจ่ายให้ ต่อมาจำเลยเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์การจ่ายเงินช่วยเหลือค่าพาหนะโดยจ่ายให้พนักงานที่มีหน้าที่ต้องไปปฏิบัตินอกสถานที่และมีสิทธิเบิกค่าพาหนะเป็นการเหมาจ่ายรายเดือน เนื่องจากเป็นรายจ่ายปลีกย่อยไม่สะดวกที่จะจ่ายตามความเป็นจริงเหมือนในอดีต เงินช่วยเหลือค่าพาหนะดังกล่าวจึงเป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานหาใช่เป็นเงินที่จ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานและไม่ถือว่าเป็นค่าจ้าง
3. ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
4. ศาลฎีกา วินิจฉัยว่า เงินช่วยเหลือค่าพาหนะที่จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์ เดือนละ 2,000 บาท เป็นค่าจ้างหรือไม่ เห็นว่า คำสั่งนี้ระบุว่า การอนุมัติค่าพาหนะให้แก่โจทก์ให้ถือว่าเป็นการให้เฉพาะตำแหน่งที่ดำรงอยู่ในขณะนั้นเท่านั้น หากมีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งและลักษณะงานที่ไม่จำเป็นจะต้องได้รับค่าพาหนะ จำเลยมีสิทธิยกเลิกเงินได้ค่าพาหนะนั้น แปลความได้ว่าจำเลยตกลงให้ค่าพาหนะแก่โจทก์ ต่อเมื่อโจทก์มีตำแหน่งและลักษณะงานที่ต้องเดินทางมิได้ให้ค่าพาหนะเป็นการถาวรตลอดไปมีการเปลี่ยนแปลงได้ กรณีจึงเป็นการที่นายจ้างให้เงินเพิ่มแก่ลูกจ้างเป็นครั้งคราวตามลักษณะการทำงาน มิได้ให้เพื่อตอบแทนการทำงานโดยตรง ไม่ถือเป็นค่าจ้าง
พิพากษายืน
รวบรวมโดยนายไพบูลย์ ธรรมสถิตย์มั่น
www.paiboonniti.com
C.3