ลูกจ้างไม่ได้ทุจริตต่อหน้าที่ แต่นายจ้างไม่ไว้วางใจ

คำพิพากษาฎีกาที่ 15777/2555

นายเพิ่มศักดิ์    แทบโภชน์     โจทก์

บริษัทธนาคารนครหลวงไทย  จำกัด  (มหาชน)  จำเลย

เรื่อง แม้ลูกจ้างไม่ได้กระทำการทุจริตต่อหน้าที่ แต่การปฏิบัติหน้าที่ของลูกจ้างในการทำงานมีเหตุให้ นายจ้างไม่ไว้วางใจ นายจ้างก็เลิกจ้างได้ด้วยความเป็นธรรมแล้ว

 

 

 โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นพนักงานของจำเลย ตำแหน่งเจ้าหน้าที่สินเชื่อ โจทก์เป็นเจ้าหน้าที่สินเชื่อรับผิดชอบต่อลูกค้า โจทก์ขอเอกสารทางการเงิน หลักประกันและข้อมูลส่วนตัวจากลูกค้า และทำการวิเคราะห์ข้อมูลการให้สินเชื่อ โดยให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายประเมินราคาเป็นผู้ตรวจสอบหลักประกัน จากนั้นจัดทำคำขออนุมัติสินเชื่อต่อผู้จัดการสาขา และผู้จัดการสาขาส่งคำขออนุมัติสินเชื่อไปยังฝ่ายสินเชื่อส่วนบุคคล สำนักงานใหญ่ ซึ่งต่อมาจำเลยอนุมัติสินเชื่อ ให้แก่ลูกค้า โดยลูกค้าทำสัญญากู้เงินและจดทะเบียนจำนองหลักประกันกับจำเลยแล้ว หลังจากนั้น ลูกค้าผิดนัดไม่ชำระหนี้ ต่อมาจำเลยตั้งคณะกรรมการสอบสวนโจทก์กล่าวหาว่าโจทก์นำเสนอข้อมูลหลักฐานทางการเงินและหลักประกันของลูกค้าไม่ถูกต้องและครบถ้วนผิดขั้นตอนการวิเคราะห์สินเชื่อ จึงมีคำสั่งให้ไล่โจทก์ออกจากงาน  เพราะมีพฤติกรรมส่อไปในทางทุจริตรู้เห็นเป็นใจกับผู้อื่น หลอกหลวงให้จำเลยอนุมัติเงินกู้ทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย เป็นการผิดวินัยร้ายแรง โจทก์เห็นว่าข้อกล่าวอ้างดังกล่าวไม่เป็นความจริง ขอให้บังคับจำเลยชำระค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีระยะเวลา 7 วัน กับชำระค่าเสียหาย

 

จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ปฏิบัติตามระเบียบคำสั่งและวิธีปฏิบัติในการพิจารณาสินเชื่อ เป็นการ  จงใจและประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย กล่าวคือ ในการพิจารณาสินเชื่อของลูกค้า โจทก์ไม่เคยพบลูกค้าโดยตรงและโจทก์ไม่ได้ไปขอถ่ายรูปสถานประกอบธุรกิจของลูกค้าตามปกติ การพิจารณาสินเชื่อของโจทก์ มีพฤติกรรมที่ส่อไปในทางทุจริต จำเลยจึงตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ปรากฏว่าเป็นการทำผิดวินัยกรณีร้ายแรง จำเลยมีคำสั่งไล่โจทก์ออกจากการเป็นพนักงาน เป็นการเลิกจ้างโดยชอบด้วยกฎหมาย  จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระเงินตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง

 

ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว  พิพากษาให้จำเลย  (1)ชำระค่าชดเชย     พร้อม (2) ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี และชำระ  (3) สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า   พร้อม  (4)ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี กับให้ชำระ (5) ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

 

โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

 

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว เห็นว่า การที่โจทก์ไม่ได้ไปพบลูกค้าด้วยตนเองและถ่ายรูปสถานที่ประกอบธุรกิจของลูกค้าโดยพลการนั้น เป็นกรณีที่โจทก์ไม่ได้ปฏิบัติงานอย่างเต็มความสามารถตามแนวทางปฏิบัติที่ผ่านมาเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่แน่ชัดว่าลูกค้ามีที่อยู่เป็นหลักแหล่งแน่นอนและมีความสามารถในการชำระหนี้ แม้ตามข้อเท็จจริงจะไม่ปรากฏว่าโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่แต่การปฏิบัติหน้าที่ของโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่สินเชื่อในสถาบันการเงินซึ่งต้องอาศัยความเชื่อถือไว้วางใจในการทำงานก็มีเหตุให้จำเลยไม่ไว้วางใจให้โจทก์ปฏิบัติหน้าที่ร่วมกันต่อไปได้ การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงไม่ใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม อุทธรณ์จำเลยฟังขึ้นบางส่วน

 

อุทธรณ์โจทก์ที่ว่า ศาลแรงงานกลางมิได้นำเงินสมทบของนายจ้างในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมารวมคำนวณเป็นค่าเสียหายให้โจทก์ด้วย เห็นว่า เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้โดยมิใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมและโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมแล้ว อุทธรณ์โจทก์ดังกล่าวจึงไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลของคดีจึงไม่เป็นสาระอันควรได้รับการวินิจฉัยอีกต่อไป

 

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมและดอกเบี้ยแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 



 

รวบรวมโดยนายไพบูลย์  ธรรมสถิตย์มั่น 

www.paiboonniti.com 

C63